ตลาดคริปโตไม่เคยหลับใหล และราคาอาจขึ้นหรือลงได้ในเวลาไม่กี่วินาที สำหรับเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จในสภาพแวดล้อมที่รวดเร็วนี้ Scalping ได้กลายเป็นวิธีหลักที่พวกเขาเลือกใช้ แทนที่จะรอหลายวันเพื่อให้เทรนด์ก่อตัว เหล่า scalper จะมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนความผันผวนของราคาที่รวดเร็วให้เป็นโอกาส
สไตล์การเทรดนี้ไม่ได้มุ่งหวังผลกำไรก้อนใหญ่ แต่เป็นการสะสมกำไรเล็กๆ น้อยๆ ที่สม่ำเสมอจากการเทรดบ่อยครั้ง ในตลาดที่ความผันผวนเป็นเรื่องปกติ การ Scalping จึงดึงดูดผู้ที่ต้องการความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง, ตอบสนองอย่างรวดเร็ว และใช้ประโยชน์สูงสุดจากการเคลื่อนไหวในระยะสั้น
Scalping คืออะไรและทำงานอย่างไรในการเทรดคริปโต?
Scalping เป็นวิธีการเทรดที่เปิดและปิดตำแหน่งในระยะเวลาสั้นมาก มักใช้เวลาตั้งแต่ไม่กี่วินาทีถึงไม่กี่นาที เป้าหมายคือการจับการเปลี่ยนแปลงราคาเพียงเล็กน้อยแทนที่จะรอการเคลื่อนไหวที่ใหญ่
โดยทั่วไป Scalper จะเน้นความถี่ในการเทรดสูงมาก แทนที่จะเทรดเพียงไม่กี่ครั้งต่อวัน พวกเขาอาจทำการเทรดหลายสิบหรือหลายร้อยครั้ง บางคนใช้ Leverage เพื่อเพิ่มผลตอบแทน แต่ก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยงหากการเทรดไม่เป็นไปตามที่คาด
ตลาดคริปโตนั้นเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการ Scalping เนื่องจากความผันผวนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สินทรัพย์ดิจิทัลมักจะมีการแกว่งตัวอย่างรุนแรงในแต่ละวัน ซึ่งสร้างโอกาสมากมายให้เทรดเดอร์ระยะสั้นเข้าและออกจากตลาดได้อย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างเช่น หาก BTC/USDT เคลื่อนไหวจาก $115,700 ไปยัง $115,850 บนแผนภูมิหนึ่งนาที Scalper อาจซื้อที่ $115,700 และออกในอีกไม่กี่วินาทีต่อมาที่ $115,850 เพื่อรับส่วนต่าง $150 แม้ว่ากำไรต่อการเทรดจะน้อย แต่การทำซ้ำกระบวนการนี้ในการเทรดหลายครั้งสามารถสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอได้
ข้อดีและข้อเสียของการ Scalping คริปโต
การ Scalping สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในสถานการณ์ที่เหมาะสม แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายเช่นกัน เทรดเดอร์ควรพิจารณาข้อดีและข้อเสียก่อนตัดสินใจว่าสไตล์นี้เหมาะกับเป้าหมายของพวกเขาหรือไม่
ข้อดี
• เห็นผลลัพธ์รวดเร็ว: การเทรดใช้เวลาสั้น ทำให้สามารถทำกำไรหรือขาดทุนได้ในไม่กี่นาที Scalper อาจซื้อ BTC/USDT ที่ $116,800 และขายที่ $116,850 ภายในไม่กี่นาที เพื่อล็อคกำไร $50 โดยไม่ต้องรอหลายชั่วโมงหรือหลายวัน
• เทรดได้บ่อย: ในวันที่ผันผวน ราคาอาจแกว่งตัวหลายสิบครั้ง ซึ่งเปิดโอกาสให้มีจุดเข้าและจุดออกหลายครั้ง
• มีความเสี่ยงจำกัด: เนื่องจากเป็นการเทรดระยะสั้น การถูกข่าวที่ไม่คาดคิดเข้ามากระทบตำแหน่งการเทรดจึงมีโอกาสน้อยกว่า Swing Trader
ข้อเสีย
• ความเสี่ยงสูง: การใช้ leverage ในการเคลื่อนไหวเล็กน้อยสามารถเพิ่มการขาดทุนได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับกำไร ตัวอย่างเช่น การใช้ leverage 10 เท่าในการเคลื่อนไหว BTC $50 อาจทำให้การกลับตัวเล็กน้อยล้างกำไรหรือแม้แต่ยอดเงินในบัญชีได้อย่างรวดเร็ว
• ใช้เวลามาก: Scalper ต้องเฝ้าติดตามแผนภูมิอย่างใกล้ชิด การพลาดการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวบนแท่งเทียน 1 นาที อาจหมายถึงการพลาดการเทรดทั้งหมด
• ค่าใช้จ่ายในการเทรด: ค่าธรรมเนียมจะสะสมอย่างรวดเร็ว เช่น หากเทรดเดอร์ทำกำไรได้ $10 จากการ Scalping แต่จ่ายค่าธรรมเนียมและสเปรดรวมกัน $3 กำไรสุทธิจะลดลงเหลือ $7 เมื่อมีการเทรดจำนวนมาก ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะลดผลตอบแทนโดยรวมลงอย่างมาก
การ Scalping มักจะเหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ซึ่งสามารถรับมือกับแรงกดดันและใช้การจัดการความเสี่ยงอย่างเคร่งครัดได้ ผู้เริ่มต้นอาจรู้สึกว่าจังหวะการเทรดนี้หนักเกินไป ดังนั้นการฝึกฝนในบัญชีทดลองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสำรวจสไตล์นี้อย่างปลอดภัย
5 กลยุทธ์ Scalping คริปโตที่ดีที่สุด
การ Scalping สามารถทำได้หลายวิธี แต่บางวิธีก็เชื่อถือได้มากกว่าวิธีอื่น ด้านล่างนี้คือ 5 กลยุทธ์ที่เทรดเดอร์นิยมใช้เพื่อจับการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วในตลาดคริปโต การตั้งค่าส่วนใหญ่เหล่านี้ใช้ในกรอบเวลาที่สั้นมาก เช่น แผนภูมิ 1 นาทีหรือ 5 นาที
1. การเทรดแบบ Range
การเทรดแบบ Range เป็นกลยุทธ์การ Scalping ที่เน้นการเคลื่อนไหวของราคาระหว่างสองระดับ คือ แนวรับ และ แนวต้าน แนวรับคือจุดที่แรงซื้อมีแนวโน้มที่จะป้องกันการลดลงต่อไป ในขณะที่แนวต้านคือจุดที่แรงขายจำกัดการเคลื่อนไหวที่สูงขึ้น
Scalper มีเป้าหมายที่จะซื้อใกล้แนวรับและขายใกล้แนวต้าน โดยทำซ้ำกระบวนการนี้ตราบเท่าที่ Range ยังคงอยู่ Scalper มักจะตั้งเป้าหมายอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (R:R) อย่างน้อย 1:2 หรือ 1:3 ซึ่งหมายความว่าผลตอบแทนควรจะมากกว่าความเสี่ยง 2-3 เท่า
จากแผนภูมิด้านบน BTC/USDT กำลังเทรดอยู่ในช่วงระหว่าง $112,160 (แนวรับ) และ $112,440 (แนวต้าน) ในกรอบเวลา 5 นาที Scalper อาจเปิด Long Position ที่แนวรับประมาณ $112,160 โดยมี Stop-Loss ที่ $112,120 เพื่อรับความเสี่ยง $40 และตั้งเป้าหมายที่แนวต้านใกล้ $112,440 เพื่อทำกำไรที่อาจเกิดขึ้นได้ $280
ซึ่งสร้างอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (R:R) 1:7 ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบสำหรับการเทรดระยะสั้น ตรรกะเดียวกันนี้ยังใช้ย้อนกลับได้สำหรับการเทรด Short ที่แนวต้านและออกที่แนวรับ
วิธีนี้ใช้ได้ดีที่สุดในตลาดที่เป็น Sideway ซึ่งราคาจะมีการรวมตัวกันแทนที่จะเป็นเทรนด์ คำสั่ง Stop-Loss มักจะวางไว้นอก Range เพื่อป้องกัน Breakout และเพื่อให้แน่ใจว่าการขาดทุนจะถูกควบคุมเมื่อตลาดเคลื่อนไหวโดยไม่คาดคิด
2. การเทรดแบบเบรคเอาต์ (Breakout Trading)
การเทรดแบบเบรคเอาต์เป็นวิธีการเทรดแบบ Scalping ที่เทรดเดอร์จะเข้าสู่ Position เมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านที่กำหนดไว้ เหตุผลก็คือเมื่อราคาทะลุแนวต้านได้แล้ว มักจะมี Momentum ที่เร่งตัวขึ้นไปในทิศทางนั้น
ในกราฟด้านบน BTC/USDT ได้รวมตัวกันระหว่างแนวรับที่ 112,150 ดอลลาร์และแนวต้านใกล้ 112,425 ดอลลาร์ในช่วงเวลา 5 นาที เมื่อราคาทะลุแนวต้านด้วยแท่งเทียนสีเขียวที่แข็งแกร่ง นั่นเป็นสัญญาณของโอกาสในการซื้อ นัก Scalper สามารถเข้าที่จุด Breakout ประมาณ 112,425 ดอลลาร์ และกำหนด Stop-loss ไว้ต่ำกว่าช่วงที่ 112,300 ดอลลาร์เพื่อควบคุมความเสี่ยง
หากตั้งเป้าหมายไว้ที่ระดับสำคัญถัดไปใกล้ 113,280 ดอลลาร์ กำไรที่อาจเกิดขึ้นคือ 855 ดอลลาร์ ในขณะที่ความเสี่ยงอยู่ที่ประมาณ 125 ดอลลาร์ สิ่งนี้ทำให้เกิดอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (R:R) ประมาณ 1:7 ซึ่งทำให้การตั้งค่านี้เป็นที่น่าสนใจ เทรดเดอร์ที่ต้องการการยืนยันเพิ่มเติมอาจรอการ Pullback ไปยังแนวต้านที่ถูกทะลุก่อนที่จะเข้า
การ Scalping แบบ Breakout นั้นมีประสิทธิภาพมากที่สุดในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง ซึ่งช่วงราคาของสินทรัพย์นั้นมักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม การ Breakout ที่เป็น False Breakout (ทะลุหลอก) เป็นเรื่องปกติ ดังนั้นการจัดการ Stop-loss และการปฏิบัติตามกฎ R:R ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ
3. รูปแบบกราฟ (Chart Patterns)
รูปแบบกราฟช่วยให้นัก Scalper คาดการณ์ได้ว่าราคาจะยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางเดิมหรือจะกลับตัว การตั้งค่าทั่วไป ได้แก่ Wedges, Triangles และ Flags ซึ่งโครงสร้างเหล่านี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติในตลาดและให้ระดับการเข้า, Stop-loss และ Take-profit ที่มีความเสี่ยงที่ชัดเจน
ในกราฟแรก BTC/USDT ได้สร้าง
ช่องทางขาลง นัก Scalper สามารถเข้า Short ที่ขอบบนประมาณ 112,500 ดอลลาร์ ตั้ง Stop-loss ไว้เหนือแนวต้านเล็กน้อย และตั้งเป้าที่ขอบล่างใกล้ 111,120 ดอลลาร์
การตั้งค่านี้มีโครงสร้าง R:R ที่ชัดเจน เนื่องจากผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นจากบนลงล่างของช่องทางนั้นใหญ่กว่าความเสี่ยงของการ Breakout เล็กน้อยเหนือแนวต้านมาก
ในกราฟที่สอง BTC/USDT แสดง
รูปแบบสามเหลี่ยมลง การเข้า Sell ที่ 111,500 ดอลลาร์ โดยมี Stop-loss เหนือ 111,850 ดอลลาร์ และ Take-profit ที่ประมาณ 110,900 ดอลลาร์จะสร้างการตั้งค่าที่จัดการได้ง่าย รูปแบบสามเหลี่ยมให้ระดับที่ชัดเจนสำหรับการวางแผนการเทรด ช่วยให้นัก Scalper หลีกเลี่ยงการเดาสุ่ม
การ Scalping ด้วยรูปแบบกราฟมีประสิทธิภาพเนื่องจากจุดเข้ามีการกำหนดไว้ชัดเจน และความเสี่ยงถูกจำกัดด้วยขอบเขตที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม การ Breakout ที่เป็น False Breakout ก็อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นนัก Scalper ควรให้ความสำคัญกับการรักษาอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่เอื้ออำนวย โดยปกติคือ 1:2 หรือดีกว่า เพื่อรักษาผลกำไรเมื่อเทรดไปหลายครั้ง
4. RSI + ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)
ในกราฟด้านบน BTC/USDT แสดงการ Cross ที่เป็น Bullish ของ RSI (RSI เพิ่มขึ้นเหนือ 30 จากระดับ Oversold) ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการ Cross ของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นที่อยู่เหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว สัญญาณคู่กันนี้เป็นสัญญาณการเข้าซื้อที่ 109,400 ดอลลาร์
ด้วย Stop-loss ที่ตั้งไว้ต่ำกว่าแนวรับเล็กน้อยที่ 108,330 ดอลลาร์ ความเสี่ยงในการเทรดจะอยู่ที่ประมาณ 1,070 ดอลลาร์ เป้าหมาย Take-profit ที่ 110,700 ดอลลาร์ให้กำไรที่อาจเกิดขึ้น 1,300 ดอลลาร์ ซึ่งให้อัตราส่วน R:R ใกล้เคียงกับ 1:1.2 แม้ว่าจะไม่มาก แต่นัก Scalper สามารถทำซ้ำการตั้งค่าประเภทนี้หลายครั้งต่อหนึ่งเซสชันเพื่อสะสมผลกำไร
จุดแข็งของวิธีนี้อยู่ที่การยืนยัน: แทนที่จะพึ่งพา RSI เพียงอย่างเดียว การ Cross ของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะเพิ่มหลักฐานเพิ่มเติมว่า Momentum กำลังเปลี่ยนไป อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับตัวบ่งชี้ทั้งหมด สัญญาณอาจมีความล่าช้า ดังนั้นการดำเนินการที่รวดเร็วและการจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวดจึงยังคงเป็นสิ่งสำคัญ
5. Bid-Ask Spread: การใช้ประโยชน์จากส่วนต่างราคาในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ
Bid-Ask Spread คือความแตกต่างระหว่างราคาสูงสุดที่ผู้ซื้อยินดีจ่าย (Bid) และราคาต่ำสุดที่ผู้ขายยินดีรับ (Ask) ในคู่ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น BTC/USDT Spread มักจะแคบ ซึ่งมักจะแตกต่างกันเพียงไม่กี่ดอลลาร์ แต่ในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ Spread สามารถกว้างขึ้นได้ ทำให้เกิดโอกาสสำหรับนัก Scalper
ตัวอย่างเช่น หากโทเค็นมีราคา Bid ที่ 10.00 ดอลลาร์และ Ask ที่ 10.20 ดอลลาร์ Spread จะอยู่ที่ 0.20 ดอลลาร์ นัก Scalper ที่ซื้อที่ Bid และขายที่ Ask สามารถทำกำไรจากช่องว่างนี้ได้ แม้ว่ากำไรต่อการเทรดแต่ละครั้งจะน้อย แต่การทำซ้ำกระบวนการนี้หลายๆ ครั้งสามารถสะสมผลตอบแทนได้
แนวทางนี้เป็นที่นิยมในคริปโทที่มีสภาพคล่องน้อยกว่า ซึ่ง Spread นั้นกว้างขึ้นตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์ควรระมัดระวัง สภาพคล่องต่ำยังหมายถึงคำสั่งอาจไม่สามารถดำเนินการได้ตามราคาที่ต้องการเสมอไป และ Slippage (ความคลาดเคลื่อนของราคา) สามารถลดกำไรได้
วิธีสร้างกลยุทธ์ Scalping ของคุณเอง สำหรับการเทรดคริปโต
นักเทรด Scalping ทุกคนต่างก็มีระบบเป็นของตัวเอง แต่กลยุทธ์ส่วนใหญ่จะใช้หลักการเดียวกัน นี่คือขั้นตอนสำคัญในการสร้างกลยุทธ์ที่เหมาะกับสไตล์ของคุณ:
1. เลือกไทม์เฟรมสั้น: การทำ Scalping จะใช้ได้ดีที่สุดกับกราฟ 1 นาทีถึง 5 นาที ที่มีการเคลื่อนไหวของราคาบ่อยพอที่จะให้เทรดได้หลายครั้งต่อเซสชั่น
2. ระบุแนวรับและแนวต้าน: ใช้เส้นแนวนอน, เส้นเทรนด์ หรือจุดสูงสุดและต่ำสุดล่าสุดเพื่อหาจุดเข้าและออก โซนเหล่านี้เป็นเหมือนกระดูกสันหลังของการเทรด Scalping ทุกครั้ง
3. ยืนยันด้วยอินดิเคเตอร์: เครื่องมือต่างๆ เช่น EMA, RSI หรือ
Bollinger Bands ช่วยกรองการเทรดได้ ตัวอย่างเช่น เข้าซื้อในแนวรับเมื่อ RSI แสดงภาวะ oversold เท่านั้น
4. ใช้การบริหารความเสี่ยง: กำหนดจุด Stop-Loss, จัดการขนาดของ Position อย่างเหมาะสม และตั้งเป้าหมายให้มีอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่ดี (อย่างน้อย 1:2) เพื่อจำกัดการขาดทุนให้เล็กและเพิ่มกำไรให้มากขึ้น
5. ทดสอบและปรับปรุง: ทบทวนการเคลื่อนไหวของราคาในอดีต, ทดสอบกฎของคุณ และจดบันทึกการเทรดในสมุดบันทึก เพื่อช่วยระบุจุดแข็งและจุดอ่อน จะได้ปรับปรุงกลยุทธ์ให้ดีขึ้นได้ตลอดเวลา
แผน Scalping ที่มีวินัยไม่จำเป็นต้องหา "เซ็ตอัพ" ที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นการใช้กฎที่สอดคล้องกับการควบคุมความเสี่ยงที่เข้มงวด
การ Scalping คริปโตเหมาะกับคุณหรือไม่?
การทำ Scalping ไม่ใช่วิธีที่เหมาะกับทุกคน แต่ต้องมีคุณสมบัติและนิสัยเฉพาะตัว ซึ่งไม่ใช่เทรดเดอร์ทุกคนจะถนัด
การทำ Scalping ต้องใช้สมาธิอยู่ตลอดเวลาและต้องสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วในไม่กี่วินาที แตกต่างจาก Swing Trading ที่ Position อาจคงอยู่ได้หลายวัน หรือ Day Trading ที่จะเน้นไม่กี่เซ็ตอัพต่อเซสชั่น การทำ Scalping จะมีการเทรดแบบรวดเร็วจำนวนมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดความเครียดและหมดแรงทางจิตใจได้ โดยเฉพาะถ้าขาดวินัย
เรื่องจิตวิทยาก็สำคัญพอๆ กับกลยุทธ์ นักเทรด Scalping ต้องยอมรับกำไรเล็กน้อย, ตัดขาดทุนอย่างรวดเร็ว และหลีกเลี่ยงการไล่ราคา การตอบสนองด้วยอารมณ์อาจทำให้ต้องจ่ายแพง เมื่อมี Margin of Error น้อย
สำหรับมือใหม่ วิธีที่ดีที่สุดในการทดสอบว่าการทำ Scalping เหมาะกับพวกเขาหรือไม่ คือการฝึกในบัญชีทดลอง ซึ่งจะช่วยให้นักเทรดได้สัมผัสกับความเร็วและความกดดันของการทำ Scalping โดยไม่ต้องเสี่ยงกับเงินจริง เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็สามารถตัดสินใจได้ว่าชอบความเข้มข้นของการทำ Scalping หรือจังหวะที่ช้ากว่าของการเทรดแบบ Swing และ Day Trading
สรุป: การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเทรดระยะสั้นในคริปโต
การทำ Scalping ในคริปโตมอบโอกาสในการใช้ประโยชน์จากความผันผวนของตลาดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการเก็บเกี่ยวการเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กน้อยแต่เกิดขึ้นบ่อยๆ กลยุทธ์ต่างๆ เช่น การเทรดใน Range, การ Breakout, รูปแบบกราฟ, สัญญาณอินดิเคเตอร์ และโอกาสจาก Spread ทำให้เทรดเดอร์มีหลายวิธีในการเข้าหาเซ็ตอัพระยะสั้น
ความสำเร็จในการทำ Scalping อยู่ที่วินัย กฎการเข้าและออกที่ชัดเจน, การบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด และการให้ความสำคัญกับอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ คือสิ่งที่แบ่งแยกระหว่างนักเทรด Scalping ที่ทำกำไรได้กับผู้ที่อาศัยโชค
สำหรับเทรดเดอร์ที่พร้อมจะสำรวจสไตล์การเทรดที่รวดเร็วนี้ BingX มีเครื่องมือและสภาพคล่องในตลาดเพื่อให้คุณนำกลยุทธ์เหล่านี้ไปใช้ได้จริง เริ่มต้นด้วยบัญชีทดลองเพื่อสร้างความมั่นใจ, ปรับปรุงแนวทางของคุณ และเปลี่ยนไปเทรดจริงเมื่อระบบของคุณเชื่อถือได้
บทความที่เกี่ยวข้อง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการ Scalping คริปโต
1. การ Scalping ดีสำหรับมือใหม่ในคริปโตหรือไม่?
การ Scalping มีจังหวะที่เร็วและมีความเสี่ยง ดังนั้นอาจเป็นเรื่องที่หนักเกินไปสำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นด้วยบัญชีทดลองเพื่อฝึกฝนก่อนจะเทรดจริงจะดีกว่า
2. การ Scalping คริปโตต้องใช้เวลานานแค่ไหน?
การ Scalping ต้องใช้สมาธิอยู่ตลอดเวลา การเทรดจะกินเวลาเพียงไม่กี่วินาทีถึงนาที ดังนั้นนักเทรด Scalping ต้องเฝ้าดูกราฟอย่างใกล้ชิดตลอดเซสชั่น
3. ไทม์เฟรมที่ดีที่สุดสำหรับการ Scalping คริปโตคืออะไร?
นักเทรด Scalping ส่วนใหญ่ใช้กราฟ 1 นาที หรือ 5 นาที เพราะจะให้โอกาสบ่อยครั้งและเซ็ตอัพการเทรดที่รวดเร็ว
4. นักเทรด Scalping ใช้เลเวอเรจเสมอไปหรือไม่?
ไม่เสมอไป นักเทรด Scalping หลายคนใช้เลเวอเรจเพื่อเพิ่มผลจากความเคลื่อนไหวเล็กๆ แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงด้วยเช่นกัน แนะนำให้มือใหม่เทรดโดยไม่มีเลเวอเรจก่อน จนกว่าจะมีความมั่นใจ
5. คู่คริปโตคู่ไหนดีที่สุดสำหรับการ Scalping?
คู่ที่มีวอลุ่มสูง เช่น BTC/USDT และ
ETH/USDT เป็นที่นิยมเนื่องจากมีสภาพคล่องสูงและสเปรดต่ำ นักเทรด Scalping บางคนก็มองหาโอกาสใน Altcoin ขนาดเล็กที่มีสเปรดกว้างกว่าด้วย